ชื่อของวง Linkin Park นั้นจัดได้ว่าเป็นวงที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดอีกวงหนึ่งจากที่ได้โลดแล่นอยู่ในวงการดนตรีแนวร็อคและเมทัลมากว่า 12 ปีแล้ว และเวลาที่ผ่านไปนั้นก็ไม่ได้ทำให้ฝืมือและคุณภาพงานของพวกเขาตกลงไปเลยเพราะอัลบั้มล่าสุด Living Things ที่เป็นงานเพลงชุดที่ 5 ของพวกเขานั้นก็บ่งบอกได้ดีว่าประสบการณ์ด้านดนตรีที่สั่งสมกันมาตั้งแต่แรกนั้นมีพัฒนาการไปในทางที่ดีอย่างเสมอต้นเสมอปลาย วันนี้เราจะมาบรรยายกันอย่างเต็มที่เลยว่าไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดในอัลบั้ม Living Things นั้นจะมีอะไรบ้าง
เปิดอัลบั้มกันด้วยเพลง Lost in the Echo ที่นับว่าน่าทึ่งมากด้วยเสียงกลองฮึกเหิมตามด้วยทำนองเนิบนาบก่อนจะเร่งจังหวะขึ้นด้วยเสียงกีตาร์หนักหน่วงซึ่งเข้ากันได้ดีเหลือเกินกับเสียงแร็พของ ไมค์ ชิโนดะ (Mike Shinoda) เอ็มซีประจำวงและเสียงร้องบาดหูของเชสเตอร์ เบนนิงตัน (Chester Bennington) ตามด้วยเพลงบรรเลงที่โดดเด่นด้วยเสียงสังเคราะห์แบบ ดับเสต็ป (Dubstep) ที่ใช้เป็นจังหวะขึ้นนำเพลงต่อไป Powerless ได้อย่างนุ่มนวลและรุนแรงขึ้นในเวลาต่อมา
ภาพรวมของอัลบั้ม Living Things นี้ก็นับว่าเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ความผิดหวัง และความเกรี้ยวกราด และเพลงส่วนใหญ่ในอัลบั้มก็เป็นเรื่องราวที่ถ่ายทอดถึงอารมณ์และความรู้สึกเหล่านี้ อย่างเช่นในเพลง Lies Greed Misery และ Victimized ที่แค่ชื่อเพลงก็บ่งบอกถึงความหมายในตัวเองอยู่แล้ว ยิ่งได้เสียงร้องโหยหวนของ เชสเตอร์ ก็ยิ่งทำให้เค้นอารมณ์ไปใหญ่โดยเฉพาะเพลง In My Remains ท่อนที่ร้องว่า “Falling in the cracks of every broken heart, digging through the wreckage of your disregard.” ซึ่งเป็นการบรรยายถึงความรู้สึกเสียใจและผิดหวังกับความรัก ราวกับตกลงไปในรอยแยกของอกที่หักไม่มีชิ้นดีและกับการที่อีกฝ่ายไม่สนใจไยดีจนเปรียบได้กับซากปรักหักพังภายในใจที่ถูกทอดทิ้ง
อัลบั้ม Living Things นี้จัดได้ว่าคงคุณภาพตามมาตรฐานของ Linkin Park ได้ดีทีเดียวจากระยะเวลาอันแสนยาวนานถึง 12 ปีที่พวกเขาได้ผลิตผลงานเพลงอย่างประณีตออกมาให้แฟนเพลงได้ฟังกัน นับตั้งแต่อัลบั้มเปิดตัว Hybrid Theory ที่ประสบความสำเร็จมากเหลือเกินด้วยการผสมผสานแนวเพลงเมทัลและฮิพฮอพเข้าด้วยกันอย่างลงตัว หรือที่เรียกกันว่า นูเมทัล (Numetal) หรือเพลงเมทัลสมัยใหม่นั่นเอง แต่ที่ผ่านมาหลายปีนี้พวกเขาก็ได้เสนอสิ่งแปลกใหม่รวมเข้าไปอยู่ในงานเพลงของพวกเขาตลอดเวลา อย่าง 2 ชุดก่อนหน้า Minutes to Midnight และ A Thousand Suns นั้นก็มีเสียงดนตรีที่ย้อนยุคแบบไซคีเดลิค (Psychedelic) จนได้มาเพิ่มความเป็นอิเล็กทรอนิกมากขึ้นตามกระแสที่แรงมากในขณะนี้ อย่างไรก็ตามใครที่เคยชอบงานเพลงแบบดั้งเดิมของวง Linkin Park ตั้งแต่ชุดเปิดตัวก็อาจจะรู้สึกแปลกหูไปบ้าง แต่รับรองได้ว่าหากเป็นแฟนเพลงตัวจริงของวงนี้แล้วจะรู้ว่าพวกเขาไม่ชอบหยุดอยู่กับที่และจะค้นหาสิ่งใหม่ๆ มาใส่ไว้ในงานเพลงเพื่อไม่ให้ออกมาซ้ำซากจำเจนั่นเอง
ล่าสุดภาพยนตร์เรื่อง Abraham Lincoln: Vampire Hunter ก็ได้นำเพลง Powerless ของหนุ่มๆ วง Linkin Park ไปประกอบตัวอย่างภาพยนตร์อีกด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น